บัพติศมาด้วยไฟมีในพระคัมภีร์หรือไม่?
บทความนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากคำถามของพี่น้องคริสเตียนหลายๆ
ท่านที่ส่งไลน์เข้ามาถามข้าพเจ้าว่า “ผู้เชื่อจะต้องรับบัพติศมาอะไรบ้าง?” และ ถามว่า “บัพติศมาด้วยไฟเป็นอย่างไรและมีจริงไหม?”
ในบทความนี้ข้าพเจ้าจะตอบคำถามที่สองของพี่น้องที่ถามเข้ามาคือ
“บัพติศมาด้วยไฟเป็นอย่างไรและมีจริงไหม?” โดยใช้ข้อหัวว่า “บัพติศมาด้วยไฟมีในพระคัมภีร์หรือไม่?” ซึ่งหวังว่าผู้อ่านจะเข้าใจในหัวข้อนี้ตามพระวจนะของพระเจ้ามากที่สุด  
ผู้เขียนไม่มีเจตนาที่จะพาดพิงถึงบุคคลใดๆ ทั้งสิ้น และเขียนด้วยความรักต่อพี่น้องในพระกาย
 จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าข้อเขียนนี้จะมีประโยชน์ต่อผู้อ่านไม่มากก็น้อย
มีบางท่านที่เข้าใจว่า “ผู้เชื่อจะต้องรับบัพติศมาด้วยไฟ”
นอกเหนือจาก “การรับบัพติศมาในน้ำ” และ “การรับบัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์”    การเข้าใจเช่นนี้น่าจะมาจากการตีความในพระธรรมมัทธิว
3:11 และลูกา 3:16 เป็นหลัก
มัทธิว
3:11      ข้าพเจ้าให้ท่านรับบัพติศมาด้วยน้ำ แสดงว่ากลับใจใหม่ก็จริง แต่พระองค์ผู้จะมาภายหลังข้าพเจ้า
ทรงยิ่งใหญ่กว่าข้าพเจ้า ซึ่งข้าพเจ้าไม่คู่ควรแม้แต่จะถือฉลองพระบาทของพระองค์ พระองค์จะทรงให้พวกท่านรับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และด้วยไฟ
ลูกา
3:16        ยอห์นตอบพวกเขาว่า “ข้าพเจ้าให้พวกท่านรับบัพติศมาด้วยน้ำ แต่จะมีพระองค์หนึ่งเสด็จมา ทรงยิ่งใหญ่กว่าข้าพเจ้า ซึ่งข้าพเจ้าไม่คู่ควรแม้แต่จะแก้สายฉลองพระบาทของพระองค์
พระองค์จะทรงให้พวกท่านรับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และด้วยไฟ
ผู้เขียนจึงอยากใช้พระคัมภีร์เป็นกรอบในการตอบคำถามเกี่ยวกับพระคัมภีร์ไม่ใช่อิงจากความคิดหรือประสบการณ์ของตนเองเป็นใหญ่
ประการที่ 1….ปัญหาการตีความหมายจากมัทธิว 3:11 และ ลูกา 3:16  น่าจะเป็นที่มาที่สำคัญของการคิดว่ามีบัพติศมาด้วยไฟ  ซึ่งเกิดจากการใช้คำเชื่อมต่อท้ายประโยค
“พระองค์จะทรงให้พวกท่านรับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์”  แล้วต่อท้ายด้วยคำว่า “และด้วยไฟ”        
ซึ่งประเด็นนี้ขออธิบายในทางภาษาศาสตร์ว่า  เป็นเรื่องปกติที่เราสามารถเห็นได้ทั่วไปในการใช้คำว่า
“และ” เพื่อบรรยายถึงสองลักษณะของสิ่งเดียวกัน หรือบรรยายถึงสองลักษณะในเรื่องเดียวกัน  เช่น การเขียนคำอวยพรการเดินทางว่า “Safe and Sound” (ขอให้ปลอดภัยและมีสวัสดิภาพ) 
ดังนั้นในประโยคที่พระคัมภีร์บันทึกว่า  “พระองค์จะทรงให้พวกท่านรับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และด้วยไฟ”  จึงน่าจะเป็นการใช้สองคำเพื่อบรรยายถึงสองลักษณะของสิ่งเดียวซึ่งก็คือ
 “การบรรยายหรือสื่อถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่จะมาพร้อมกับลักษณะแบบไฟของพระองค์”
ยอห์นน่าจะได้รับการสำแดงจากพระเจ้าล่วงหน้า และสามารถพูดถึงไฟซึ่งหมายถึงการได้รับฤทธานุภาพจากเบื้องบนหากผู้เชื่อได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์จากพระเยซูคริสต์  ทั้งนี้ก็เพื่อใช้ในการเป็นสักขีพยานของพระเยซูคริสต์นั่นเอง
ตามที่พระธรรมกิจการบันทึกคำตรัสของพระเยซูเอาไว้
กิจการฯ
1:8     แต่พวกท่านจะได้รับพระราชทานฤทธานุภาพ เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จมาเหนือท่าน
 และท่านทั้งหลายจะเป็นสักขีพยานของเราในกรุงเยรูซาเล็ม ทั่วแคว้นยูเดีย ทั่วแคว้นสะมาเรีย และจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก”
และสิ่งที่น่าสนใจอีกหนึ่งจุดคือ “คำกล่าวของยอห์น บัพติศโตที่เขียนเพิ่มเติมต่อท้ายไว้ว่า “และด้วยไฟ” ถูกบันทึกไว้เพียง 2 ที่เท่านั้นคือในมัทธิวและลูกา แต่ไม่ได้บันทักไว้ในพระธรรมมาระโกและพระธรรมยอห์น….เพราะในพระธรรมมาระโกและพระธรรมยอห์นบันทึกเพียง “พระองค์จะทรงให้พวกท่านรับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์” (มีเพียงบัพติศมาเดียว)
ประการที่ 2….สิ่งที่มีน้ำหนักและสำคัญที่สุดในการที่เราจะเชื่อว่า “บัพติศมาด้วยไฟมีหรือไม่?” ก็คือ “คำตรัสของพระเยซูคริสต์” ซึ่งพระเยซูคริสต์เองก็ไม่เคยกล่าวถึงการบัพติศมาด้วยไฟแม้แต่ครั้งเดียว!!! พระเยซูทรงกล่าวถึงแต่ “การรับบัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้น”
กิจการ 1:4-5 4ขณะพระองค์ทรงพำนักอยู่กับพวกอัครทูต
ทรงกำชับพวกเขาว่า “อย่าออกไปจากกรุงเยรูซาเล็ม แต่ให้รอคอยรับตามพระสัญญาของพระบิดา ซึ่งพวกท่านได้ยินจากเรา 5นั่นก็คือยอห์นให้รับบัพติศมาด้วยน้ำ
แต่อีกไม่นานพวกท่านจะรับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์”
ประการที่ 3…. อาจจะมีบางคนตีความหมายคำว่า
“แกลบ” ในมัทธิว 3:12 ว่า “แกลบ หมายถึง “ความบาปของผู้เชื่อ”
ที่ต้องถูกไฟพระเจ้าเผาชำระหรือเผาให้บริสุทธิ์และเหลือไว้แต่เมล็ดข้าวที่จะนำไปเก็บในยุ้งฉาง  
มัทธิว
3:12    พระองค์ทรงถือพลั่วอยู่ในพระหัตถ์แล้ว และจะทรงชำระลานข้าวของพระองค์ให้ทั่ว
พระองค์จะทรงรวบรวมเมล็ดข้าวของพระองค์ไว้ในยุ้งฉาง แต่พระองค์จะทรงเผาแกลบด้วยไฟที่ไม่มีวันดับ
แต่ในการตีความหมาย
เราไม่สามารถตีความจากความมืดหรือตีความจากความไม่ชัดเจนหรือตีความโดยขัดแย้งกับสิ่งที่พระเจ้าทรงตรัสไว้อย่างชัดแจ้งอยู่แล้ว
ยกตัวอย่างเช่น “เราไม่สามารถตีความคำว่า “แกลบ” ว่าหมายถึง
“ความบาปของผู้เชื่อ” เพราะในบริบทของมัทธิว 3
นั้นกำลังพูดถึงคนสองกลุ่มคือ “คนที่กลับใจใหม่มาหาพระเจ้า” กับ “คนที่ไม่ได้กลับใจใหม่”
และพูดถึงผลปลายทางในวันพิพากษาสำหรับคนสองกลุ่มนี้
ซึ่งคนที่ไม่กลับใจใหม่ในมัทธิว
3:10 ถูกเปรียบเหมือน “ต้นไม้ที่ไม่เกิดผลดีต้องถูกตัดทิ้งในกองไฟ” (กองไฟ
หมายถึง “ไฟพิพากษา”)
ส่วนในมัทธิว 3:12 ก็เป็นการย้ำอีกครั้งว่า “เมื่อพระเยซูเสด็จมาให้บัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์กับคนที่กลับใจใหม่แล้ว
(พวกเขาเป็นดั่งเมล็ดข้าวที่ถูกรวบรวมไว้ในสวรรค์)  ส่วนคนที่ไม่กลับใจใหม่ก็จะเป็นดั่งแกลบที่ถูกนำไปเผาในไฟที่ไม่มีวันดับ”
การตีความเช่นนี้น่าจะสอดคล้องกับบริบทพระคัมภีร์และภาพรวมมากกว่า
เพราะพระคัมภีร์ตอนอื่นๆ ก็เคยสื่อความหมายของคำว่าแกลบไว้แล้วว่า “แกลบเป็นลักษณะของข้าวละมาน(มีแต่เปลือก)
ที่ต้องถูกแยกไปเผาไฟในวันพิพากษา” และ “แกลบ” ยังสื่อความหมายถึง “คนอธรรม”
ด้วย
สดุดี 1:4       คนอธรรมไม่เป็นเช่นนั้นแต่เป็นเหมือนแกลบซึ่งลมพัดกระจายไป
ประการที่ 4….ในการตีความคำว่า
“ไฟที่ไม่มีวันดับ” ในมัทธิว 3:12 หรือในลูกา 3:17
ที่บางคนตีความว่า “ไฟที่ไม่มีวันดับ” หมายถึง “ไฟพระวิญญาณ”
โดยอ้างอิงจากกิจการบทที่ 2 ในช่วงที่พระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จลงมาสถิตกับผู้เชื่อแล้วมีบางสิ่งที่คล้ายเปลวไฟ
สัณฐานเหมือนลิ้นปรากฏบนผู้เชื่อทุกคน
จุดเน้นของการมีบางสิ่งคล้ายเปลวไฟ
สัณฐานเหมือนลิ้น น่าจะเป็นเรื่อง “ลิ้น” เพราะมีการพูดภาษาอื่นๆ (ที่เข้าใจได้)
โดยพระเจ้าทรงประทานให้ผู้เชื่อทุกคนที่รับบัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์ในวันนั้น (ดูกิจการ
2) และสิ่งที่มีรูปร่างมองเห็นคล้ายไฟนั้น น่าจะสะท้อนว่า “พระวิญญาณมาพร้อมไฟที่จะทำให้สาวกกล้าพูด
กล้าเป็นพยานเรื่องพระเยซูคริสต์โดยเริ่มต้นจากกรุงเยรูซาเล็มและไปสู่ชาติอื่นๆ ทุกชาติทุกภาษาและทั่วโลก”
  
หากมีบางคนตีความว่า
“ไฟที่ไม่มีวันดับ หมายถึง ไฟพระวิญญาณ”  การตีความเช่นนี้จะไม่สามารถหาหลักฐานรองรับได้เลย
เพราะคำว่า “ไฟที่ไม่มีวันดับ” ถูกใช้ในความหมายที่สื่อถึง “ไฟนรกซึ่งเป็นไฟที่ไม่มีวันดับ”
 ดังนั้นในมัทธิว 3:12 และลูกา 3:17 จึงไม่น่าจะตีความว่าเป็นไฟพระวิญญาณอย่างแน่นอน
นอกจากนี้ยังมีพระคัมภีร์หลายๆ
ตอนที่บันทึกว่า “นรกมีไฟที่ไม่มีวันดับ”
มาระโก
9:43 ถ้ามือของท่านทำให้ท่านหลงผิด
จงตัดทิ้งเสีย
การที่จะเข้าสู่ชีวิตด้วยมือด้วน ยังดีกว่ามีทั้งสองมือแต่ต้องลงไปสู่นรกในไฟที่ไม่มีวันดับ
ประการที่ 5….เมื่ออัครทูตและเหล่าอัครสาวกของพระเยซูคริสต์รับบัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้ว  อัครทูตจึงมักจะถามผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์
ที่มาเชื่อในภายหลังว่า “เมื่อท่านรับบัพติศมาในนามพระเยซูแล้ว(ซึ่งหมายถึงบัพติศมาในน้ำ) 
พวกท่านได้รับบัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์หรือยัง?”  แต่ไม่เคยมีคำถามว่า
“พวกท่านรับบัพติศมาด้วยไฟหรือยัง?  
เหล่าอัครทูตและอัครสาวกทั้งหลายไม่มีการพูดถึงการรับบัพติศมาด้วยไฟแม้แต่ครั้งเดียวและไม่มีหลักข้อเชื่อที่เหล่าอัครทูตนำมาสอน
ไม่มีเลย!!!
บทสรุป
จากการตีความหมายอย่างน้อย
5 ประการข้างต้น  “ทำให้เราไม่สามารถเชื่อได้ว่าพระเจ้าทรงสั่งให้มีการบัพติศมาด้วยไฟเพิ่มขึ้นอีก
1 อย่าง” 
เราเห็นแต่คำสั่งเรื่อง “การรับบัพติศมาในน้ำ” และ
“การรับบัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์” เท่านั้นจริงๆ 
ถึงแม้ว่า “ไม่มีเรื่องบัพติศมาด้วยไฟอยู่ในพระคัมภีร์”
 แต่อยากให้พี่น้องมั่นใจว่า
“พระวิญญาณของพระคริสต์ที่สถิตในคุณนั้นมีทุกคุณสมบัติที่เพียบพร้อมในการนำชีวิตของคุณแล้ว
เมื่อคุณดำเนินตามพระวิญญาณโดยไม่ขัดแย้งต่อพระวจนะพระเจ้าด้วยความตั้งใจจริงๆ
ชีวิตย่อมดีขึ้น”  เพราะ
            - พระวิญญาณเป็นพระผู้ช่วย (ที่ช่วยให้คุณรักพระเยซูคริสต์มากยิ่งขึ้นและช่วยให้คุณเข้าใจ+อยากกระทำตามพระคัมภีร์)
            - พระวิญญาณเป็นดั่งลม (ที่ไม่มีใครควบคุมทิศทางของลมได้
จึงไม่มีมนุษย์คนใดที่จะควบคุมหรือสั่งพระวิญญาณได้เพราะพระองค์จะทรงทำตามพระทัยของพระเยซูเหมือนดังที่พระเยซูทรงกระทำตามพระทัยของพระบิดา
ดังนั้นสิ่งที่พระวิญญาณนำคุณจึงเกิดผลดีได้) 
            - พระวิญญาณเป็นดั่งแม่น้ำ (เป็นความชุ่มชื่นและไม่แห้งเหือดไปเลย)  
            - พระวิญญาณเป็นดั่งไฟ (ที่จุดในใจคุณให้กล้าหาญในการประกาศข่าวประเสริฐอย่างมีฤทธิ์เดช)
สิรินมาศ ลีฬหเกรียงไกร
25 กันยายน 2020
(ขอขอบพระคุณ ศจ.ดร.ประพันธ์ หน่อราช ผู้ให้คำปรึกษาอย่างดีเยี่ยมก่อนหน้าที่ข้าพเจ้าจะถ่ายทอดข้อเขียนนี้ออกมาค่ะ)

ความคิดเห็น