ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

พระเจ้าทรงให้ผู้เชื่อรับสองบัพติศมานี้เท่านั้น

    บทความนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากคำถามของพี่น้องคริสเตียนหลายๆ ท่านที่ส่งไลน์เข้ามาถามข้าพเจ้าว่า “ผู้เชื่อจะต้องรับบัพติศมาอะไรบ้าง? และ “บัพติศมาด้วยไฟเป็นอย่างไรและมีจริงไหม?

ในบทความนี้ข้าพเจ้าขอตอบคำถามแรกคือ “ผู้เชื่อจะต้องรับบัพติศมาอะไรบ้าง?   โดยใช้หัวข้อที่จะช่วยให้จดจำได้ง่ายๆ ว่า “พระเจ้าทรงให้ผู้เชื่อรับสองบัพติศมานี้เท่านั้น”  (สำหรับคำถามที่สอง ท่านสามารถอ่านได้ในโพสต์นี้ บทความ : บัพติศมาด้วยไฟมีในพระคัมภีร์หรือไม่)

หัวข้อดูเหมือนจะเป็นการสรุปให้แล้วว่า “มีเพียง 2 บัพติศมาเท่านั้นที่คริสเตียนสามารถรับได้ตามคำสั่งของพระเจ้า”  และพี่น้องคริสเตียนส่วนใหญ่ที่ได้เห็นหัวข้อนี้ ก็คงมีคำตอบในใจแล้วเช่นกันว่า “สองบัพติศมาที่พระเจ้าทรงมีคำสั่งให้ผู้เชื่อรับมีบัพติศมาอะไรบ้าง?


            ในพันธสัญญาใหม่ มีคำสั่งที่ชัดเจนจากพระเจ้าให้รับสองบัพติศมานี้ ก็คือ

1.      บัพติศมาในน้ำ

2.      บัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์

 

บัพติศมาที่ 1  บัพติศมาในน้ำ

หมายถึง “การให้ผู้ที่กลับใจใหม่จากบาปจุ่มตัวลงไปมิดน้ำซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการชำระให้บริสุทธิ์ผ่านน้ำ และพระเจ้าจะทรงยกโทษความผิดบาปให้”

“ผู้ทำหน้าที่ให้บัพติศมาในน้ำคนแรก”  ก็คือ “ยอห์น บุตรเศคาริยาห์”  โดยท่านได้รับคำสั่งจากพระเจ้า ซึ่งเราเห็นได้จากในพระธรรมลูกา 3:2-3

ลูกา 3:2-3    2และอันนาสกับคายาฟาสเป็นมหาปุโรหิต ช่วงเวลานี้เองที่พระวจนะของพระเจ้ามาถึงยอห์นบุตรเศคาริยาห์ในถิ่นทุรกันดาร 3ยอห์นจึงไปทั่วลุ่มแม่น้ำจอร์แดน ประกาศให้คนกลับใจใหม่และรับบัพติศมาเพื่อให้พระเจ้าทรงยกโทษความผิดบาป 

สำหรับคนยิวที่อยู่ในยุคพันธสัญญาเดิม จะกระทำตามธรรมบัญญัติของโมเสสที่พระเจ้าทรงให้ไว้   “หากคนยิวต้องการลบล้างบาปที่ได้กระทำลงไป เขาจะต้องไปถวายเครื่องบูชาลบบาปกับปุโรหิตของพระเจ้า”  แต่อยู่ๆ ยอห์นผู้ให้บัพติศมากลับทำในสิ่งที่ไม่มีอยู่ในธรรมบัญญัติ 

สิ่งที่ยอห์น ผู้ให้บัพติศมาทำนั้นแม้จะเป็นเรื่องใหม่ของชาวยิว แต่เป็นเรื่องเก่าที่อยู่ในคำพยากรณ์ล่วงหน้าของพระเจ้าอยู่แล้ว…..เพราะยอห์น บุตรเศคาริยาห์ผู้ให้บัพติศมาในน้ำอยู่ในคำพยากรณ์  อยู่ในแผนการของพระเจ้าและเป็นผู้ที่ถูกเลือกสรรไว้ให้กระทำตามคำสั่งของพระเจ้าจริงๆ  ท่านไม่ใช่ผู้ริเริ่มทำในสิ่งใหม่ๆ ที่ออกนอกขอบเขตพระคัมภีร์โดยไม่มีพระวจนะของพระเจ้ารองรับแต่อย่างใด

ลูกา 3:4           ตามที่มีเขียนไว้ในหนังสือที่เป็นถ้อยคำของอิสยาห์ผู้เผยพระวจนะว่า  มีเสียงของผู้หนึ่งป่าวร้องในถิ่นทุรกันดารว่า จงเตรียมมรรคาแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้าจงทำหนทางของพระองค์ให้ตรงไป

ยอห์นคือผู้เตรียมทางของพระเมสสิยาห์ตามคำพยากรณ์ของอิสยาห์   ยอห์นป่าวประกาศถึงแผ่นดินสวรรค์และเชิญชวนให้คนกลับใจใหม่และรับบัพติศมาในน้ำซึ่งแสดงถึงการชำระล้างบาปจากพระเจ้า ซึ่งใช้น้ำเป็นสัญลักษณ์ของการชำระให้บริสุทธิ์  ยอห์นได้เห็นพระเยซูคริสต์มารับบัพติศมาในน้ำด้วย ซึ่งทำให้ยอห์นมั่นใจว่าพระเยซูคริสต์คือพระเมสสิยาห์ที่มาจากพระเจ้า  สามารถดูได้จากคำกล่าวของยอห์น (อ่านยอห์น 1:29-34) ……ข้าพเจ้าเห็นพระวิญญาณเสด็จลงมาจากสวรรค์เหมือนดังนกพิราบและสถิตกับพระองค์ ข้าพเจ้าเองไม่รู้จักพระองค์ แต่พระองค์ผู้ทรงใช้ข้าพเจ้ามาให้บัพติศมาด้วยน้ำ ได้ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “เมื่อเห็นพระวิญญาณเสด็จลงมาอยู่กับคนใด คนนั้นแหละจะเป็นคนให้บัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์” และข้าพเจ้าก็เห็นแล้วและเป็นพยานว่าพระองค์นี่แหละเป็นพระบุตรของพระเจ้า”

“พระเยซูทรงตั้งใจมารับบัพติศมาในน้ำจากยอห์น บุตรเศคาริยาห์” สำหรับการรับบัพติศมาในน้ำของพระเยซูไม่ใช่เพื่อการชำระบาปหรือแสดงการกลับใจใหม่เพราะพระเยซูไม่มีบาปและพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าด้วย  แต่การรับบัพติศมาในน้ำของพระเยซูก็เพื่อการทำตามแผนการของพระบิดาและเป็นการรับรองยอห์นในการทำพันธกิจนี้   และยิ่งทำให้ผู้เชื่อมั่นใจ 100% ว่า “นี่คือบัพติศมาที่พระเจ้ากำหนดไว้ให้เรากระทำตาม”

ดังนั้น “บัพติศมาในน้ำ” คือบัพติศมาที่พระเจ้าต้องการให้ผู้เชื่อแท้ได้รับเมื่อท่านกลับใจใหม่มาหาพระเจ้าอย่างแท้จริง (เชื่อด้วยใจ ยอมรับด้วยปาก) 

 

บัพติศมาที่ 2   บัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์

ตามรากศัพท์ภาษาเดิม “บัพติศมา” หมายถึง “การจุ่ม” การบัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์จึงหมายถึง “ผู้เชื่อในพระเจ้าเที่ยงแท้ได้ถูกจุ่มลงในพระเจ้าทั้งพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์”  ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ที่คริสเตียนต้องไปรับหรือไปกระทำเพิ่มเติมอีกแล้วจากคำสอนของพระเจ้า

และจากคำสอนหรือคำกล่าวของพระเจ้า  มีคำกล่าวที่เชื่อถือได้ที่สุดและเป็นหลักฐานสำคัญของคริสเตียนมากที่สุดก็คือ “คำกล่าวของพระเยซูคริสต์”  ที่ทำให้ผู้เชื่อแท้ทุกคนควรเห็นคุณค่าและมีความเข้าใจอย่างถูกต้องถึงเรื่อง “การรับบัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์” (ดูเพิ่มเติมจากกิจการบทที่ 1)

กิจการฯ 1:4      ขณะพระองค์ทรงพำนักอยู่กับพวกอัครทูต ทรงกำชับพวกเขาว่าอย่าออกไปจากกรุงเยรูซาเล็ม แต่ให้รอคอยรับตามพระสัญญาของพระบิดา ซึ่งพวกท่านได้ยินจากเรา 5 นั่นก็คือยอห์นให้รับบัพติศมาด้วยน้ำ แต่อีกไม่นานพวกท่านจะรับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์

จากคำกล่าวของยอห์น บุตรเศคาริยาห์ ในพระธรรมมาระโกและพระธรรมยอห์น (อ่านยอห์นบทที่ 1:29-34) เรื่องบัพติศมาในพระวิญญาณฯ

มาระโก 1:8     ข้าพเจ้าให้พวกท่านรับบัพติศมาด้วยน้ำ แต่พระองค์จะทรงให้พวกท่านรับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์

จากพันธกิจของเปโตร อัครทูตของพระเยซูคริสต์ที่รับคำสอนนี้ไปปฏิบัติ นำไปเป็นหลักคำสอน รวมทั้งอัครทูตคนอื่นๆ ด้วยเช่นกัน

กิจการฯ 8:15         เมื่อเปโตรกับยอห์นไปถึงก็อธิษฐานเผื่อพวกเขา เพื่อให้พวกเขาได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์

 

บทสรุป

การให้ผู้เชื่อรับบัพติศมาที่เป็นคำสั่งของพระเจ้ามีเพียงสองบัพติศมาเท่านั้น

1.      การรับบัพติศมาในน้ำ

2.      การรับบัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์

และการรับ 2 บัพติศมาข้างต้นนี้ พี่น้องผู้เชื่อก็มีทุกอย่างในพระเยซูคริสต์อย่างครบบริบูรณ์ และมีพระวิญญาณฯ ที่สถิตอยู่กับเราตลอดไป

  • ผู้เชื่อจะได้รับการลบบาป ได้รับการชำระบาปและเป็นคนที่ชอบธรรม
  • ผู้เชื่อจะกลับมาคืนดีกับพระเจ้าและคืนดีกับมนุษย์ได้
  • ผู้เชื่อจะหลุดพ้นจากอำนาจของผีมารวิญญาณชั่ว
  • ผู้เชื่อจะหลุดพ้นจากพันธนาการคำแช่งสาปในอดีต
  • ผู้เชื่อจะมีการเจิมที่มาจากพระเยซูคริสต์ที่สุดยอดอยู่ในตัวตลอดไป
  • ผู้เชื่อจะมีพระวิญญาณฯ เป็นผู้ช่วยเราในการดำเนินชีวิตตามน้ำพระทัยพระเจ้า
  • มีไฟในการเป็นพยานและประกาศข่าวประเสริฐอย่างมีฤทธิ์เดช
  • มีพระวจนะที่ใช้สร้างชีวิตฝ่ายวิญญาณ พระวจนะจะเป็นดั่งโคมส่องเท้าให้เราเดินไปในทางที่ถูกต้อง เป็นดั่งน้ำที่ชำระความคิดและชำระใจเราให้สะอาดขึ้นเมื่อเชื่อฟังกระทำตาม

 

ศจ.สิรินมาศ ลีฬหเกรียงไกร

25 กันยายน 2020

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ชีวิตผม เมื่อพบพระคริสต์ ตอนที่ 1 ชีวิตผมเริ่มจากตรงนั้น

ย้อนกลับไปประมาณเดือนตุลาคม 1987 ขณะเรียนชั้นม.4 โรงเรียนอัสสัมชัญ เพื่อนของผมที่เรียนด้วยกันมาตั้งแต่อนุบาลได้มาประกาศเรื่องพระเยซูคริสต์ให้ผมฟัง ตอนนั้นความสนใจของผมเท่ากับ "ศูนย์" เพราะผมเป็นคนมีนิสัยเรื่อยๆ ไม่คิดถึงวันข้างหน้า ไม่สนใจวันที่ผ่านเลย ทำนองว่ามีชีวิตให้ผ่านไปวันๆ ก็พอแล้ว แต่ก็เหมือนการหว่านเมล็ดพืชลงดิน เราไม่รู้ว่ามันจะงอกเมื่อไหร่ มันมีเวลาของมัน พฤศจิกายน 1987 ผ่านไปแค่เดือนเดียว  พี่ชายผมมาบอกว่า "เป็นคริสเตียนแล้ว" อะไรจะขนาดนั้น เหมือนถูกตีวงล้อม คนใกล้ตัวไหงนิยมเปลี่ยนเป็นคริสเตียน?   อารมณ์ตอนนั้น "ติดลบ" รู้สึกเหมือนทำไมถูกหลอกกันง่ายจริงๆ แป๊บๆ เชื่อ แป๊บๆ เปลี่ยน  ความรู้สึกรักชาติ รักศาสนาเดิม มันร้อนแรงทันที  ผมต่อว่าต่อขานบวกดูหมิ่นเหยียดหยามการตัดสินใจของพี่ชาย..... ผ่านไป 3 เดือน  วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 1988 หลังจากผมเฝ้ามองดูพี่ชายดำเนินชีวิตแปลกๆ (ในความรู้สึกตอนนั้น) วันอาทิตย์ไปโบสถ์แต่เช้า นิสัยเปลี่ยนไป เลิกทะเลาะกับผม (ฮา)  ผมตัดสินใจไปโบสถ์กับพี่ชายเป็นครั้งแรก  แต่เนื่องจากเป็นเด็กมีนิสัยตื่นสายในวันหยุด ก

ผู้หญิงที่ทั้งโลกต้องการ

ผู้หญิงที่ทั้งโลกต้องการ           เป็นเรื่องที่ดีที่ระยะหลังมานี้ ดูเหมือนว่าผู้หญิงจะได้รับการยอมรับมากขึ้นเรื่อยๆ นักการเมืองหญิงเก่งๆ ก็มาก ระดับผู้นำประเทศที่เป็นผู้หญิงก็เริ่มมีให้เห็นมากขึ้น นักธุรกิจ ผู้นำองค์กรที่เป็นผู้หญิงก็มีไม่น้อย โดยเฉพาะในสังคมไทยที่ไม่นานมานี้ได้รับการจัดอันดับว่าเป็นประเทศที่มีผู้หญิงดำรงตำแหน่งระดับสูงในองค์กรต่างๆ มากที่สุดในโลกประเทศหนึ่งเลยทีเดียว           ผู้หญิงหลายคนคงอยากได้รับคำชมเช่นกันว่าเป็น “ผู้หญิงเก่ง”   เมื่อผมนึกถึงคำว่า “ผู้หญิงเก่ง” ก็ทำให้นึกถึงพระคัมภีร์ตอนหนึ่งในพระธรรมสุภาษิตบทที่ 31 ที่พูดถึงลักษณะของผู้หญิงเก่งในระดับ “ผู้หญิงที่ทั้งโลกต้องการ” กันเลยทีเดียว เพราะพระคัมภีร์ตอนนี้เป็นคำชมของกษัตริย์โซโลมอน ผู้เป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ ร่ำรวย และเฉลียวฉลาดที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์โลก           ลองมาศึกษาร่วมกันนะครับ ว่า “ผู้หญิงที่ทั้งโลกต้องการ” ต้องมีลักษณะอย่างไรบ้าง หวังว่าเมื่ออ่านจบแล้ว สังคมเราจะมี “ผู้หญิงเก่ง” เพิ่มขึ้นอีกเยอะๆ นะครับ คนนี้เป็นแม่ของเด็กที่เรียกผมว่าพ่อ :)

ชีวิตผม เมื่อพบพระคริสต์ ตอนที่ 2 ศักเคียส กับ บ้านหมอเคน

หลังจากกลับบ้านแบบงงๆ เล็กน้อย เราทำอะไรลงไปเนี่่ย? พูดเล่นพูดจริง? เราเป็นคริสเตียนแล้วเหรอ? พี่เขาบอกว่าพระเยซูเข้ามาในใจแล้ว ไหนล่ะ?  มุดเข้ามาได้ไง?????   แต่ก็อย่างที่บอกครับ ผมเป็นเด็กเรื่อยๆ มาเรียงๆ ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ไม่ได้สนใจจะหาคำตอบอะไรมากมายนัก ตามธรรมเนียมอันดีของคริสตจักรที่ผมไปรับเชื่อคือจะนัดกับผู้ที่เพิ่งต้อนรับพระเยซูในวันรุ่งขึ้น เพื่ออธิบายความเชื่อ ย้ำความเข้าใจกันอีกครั้ง  ผมจึงถูกนัดจากพี่เลี้ยงของผม (พี่ป๊อก) ให้ไปพบที่บ้านหมอเคน ซอยเซ็นหลุยส์ 2 ตอนเลิกเรียน จากโรงเรียนอัสสัมชัญนั่งรถสองแถวจากบางรักออกสาทรเลี้ยวเข้าซอยแป๊บเดียวถึง (อันที่จริงอยากเรียกว่าเกาะรถสองแถวมากกว่า เพราะรถแน่นสุดๆ ห้อยโหนกันเหมือนถุงผักที่แขวนไว้ในรถกระบะขายผักยังไงยังงั้น ^.^") ถ้าคำว่า First Impression ไม่ได้ถูกจำกัดไว้เฉพาะแวดวงการค้าการขาย ผมก็เกิด First Impression ตอนที่มาหาพี่เขาล่ะครับ บ้านหมอเคนดูเรียบร้อย อบอุ่น บ้านไม่ใหญ่มาก มีสวนเล็กๆ มีโต๊ะปิงปองกางไว้เหมือนจะมีคนมาเล่นประจำ ในบ้านไม่หรูหรา แต่ดูมีชีวิตชีวา มารู้ทีหลังว่า หมอเคนและภรรยาเป็นมิชชันนารีจากอังกฤษที่เข