ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

คริสเตียนกับการเมืองที่ร้อนแรง (และน่าเบื่อในเวลาเดียวกัน)


การเมืองคือการจัดสรรอำนาจในการบริหารทรัพยากรและการปกครองบ้านเมือง ตัวมันเองไม่มีอะไรเสียหาย เป็นสิ่งดี มีความจำเป็น ทำให้เกิดกติกาสังคม ทุกคนอยู่ร่วมกันได้อย่างปกติสุข

แต่เมื่อเราอยู่ในโลกที่ไม่สมบูรณ์ เจือด้วยความบาป มันก็ย่อมเห็นความเสื่อมไม่มากก็น้อย ซึ่งมีอยู่ในทุกแวดวง ไม่ใช่แค่การเมือง ลองมองไปที่สื่อ มองไปที่การศึกษา มองไปที่ระบบยุติธรรม มองไปที่ระบบสาธารณสุข มองไปที่แวดวงธุรกิจ หรือแม้แต่มองไปที่แวดวง NGO ฯลฯ ทุกแวดวงล้วนมีความเสื่อมถอยอันเกิดจากความบาป

ถ้าเราเข้าใจแบบนี้ เราก็จะไม่ไปติดอยู่กับกับดักทางอารมณ์ที่เกิดจากปัญหาการเมือง ลึกๆ มันเป็นเรื่องของโลกความบาป ปัญหาการเมืองเป็นแค่ฝีหนึ่งเม็ดที่แตกออกมา เนื้อในอยู่ที่รากไม่ใช่อยู่ที่แผลที่แตกออกมา

พระเจ้าให้คริสเตียนมีบทบาทสำคัญคือการเป็นเกลือและแสงสว่าง เข้าใจโลกแต่ไม่ตกอยู่ภายใต้การครอบงำของโลก เห็นใจคนอื่น แต่ไม่เดินตามความไม่ดีของผู้อื่น ทำหน้าที่ตามพลเมืองที่ดี แต่ไม่ทำหน้าที่รับใช้ใครให้ทำผิดบาป

พระเยซูบอกว่าทางแคบจะนำไปถึงทางแห่งความรอด เราเป็นคริสเตียน พื้นที่เดินของเราจะแคบกว่าคนในโลกที่ไม่มีพระเจ้า แต่มันเป็นเส้นทางที่พระเจ้าปรารถนาให้เราเดิน และนั่นเป็นทางเดียวที่เราเลือกได้

เราแสดงความเห็นทางการเมืองได้ แต่เราไปร่วมในการใช้ความรุนแรงไม่ได้ เราวิพากษ์วิจารณ์การเมืองได้ แต่เราด่าทอด้วยความหยาบคายเสียดสีประชดประชันไม่ได้ เราเกลียดชังความเลวร้ายของนักการเมืองบางคนได้ แต่เราปฏิเสธที่จะรักเขาไม่ได้

ขอพระเจ้าโปรดอวยพรพี่น้องที่เป็นคอการเมืองทั้งหลาย ให้ระมัดการดำเนินชีวิตให้ดี อย่าให้เหมือนคนไร้ปัญญาแต่ให้เหมือนคนมีปัญญา (เอเฟซัส 5:15)

ความคิดเห็น

Unknown กล่าวว่า
การเมืองเน่าเป็นเพราะผู้คนส่วนใหญ่ละเลยหน้าที่ของตน เช่น ตำรวจเป็นโจรเสียเองไม่จับโจรตามหน้าที่ ศาลรับผลประโยชน์จากนักการเมืองตัดสินให้พ้นผิดทั้งที่จริงก็ผิดกฏหมาย หากเราแต่ละคนรับผิดชอบต่อหน้าที่ที่เราได้รับมอบหมายปัจจุบัน สังคมก็จะได้รับประโยชน์จากการทำงานสัตย์ซื่อของเรา และคนอื่นก็รับผิดชอบต่อหน้าที่ เราเองก็จะได้รับประโยชน์

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ผู้หญิงที่ทั้งโลกต้องการ

ผู้หญิงที่ทั้งโลกต้องการ           เป็นเรื่องที่ดีที่ระยะหลังมานี้ ดูเหมือนว่าผู้หญิงจะได้รับการยอมรับมากขึ้นเรื่อยๆ นักการเมืองหญิงเก่งๆ ก็มาก ระดับผู้นำประเทศที่เป็นผู้หญิงก็เริ่มมีให้เห็นมากขึ้น นักธุรกิจ ผู้นำองค์กรที่เป็นผู้หญิงก็มีไม่น้อย โดยเฉพาะในสังคมไทยที่ไม่นานมานี้ได้รับการจัดอันดับว่าเป็นประเทศที่มีผู้หญิงดำรงตำแหน่งระดับสูงในองค์กรต่างๆ มากที่สุดในโลกประเทศหนึ่งเลยทีเดียว           ผู้หญิงหลายคนคงอยากได้รับคำชมเช่นกันว่าเป็น “ผู้หญิงเก่ง”   เมื่อผมนึกถึงคำว่า “ผู้หญิงเก่ง” ก็ทำให้นึกถึงพระคัมภีร์ตอนหนึ่งในพระธรรมสุภาษิตบทที่ 31 ที่พูดถึงลักษณะของผู้หญิงเก่งในระดับ “ผู้หญิงที่ทั้งโลกต้องการ” กันเลยทีเดียว เพราะพระคัมภีร์ตอนนี้เป็นคำชมของกษัตริย์โซโลมอน ผู้เป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ ร่ำรวย และเฉลียวฉลาดที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์โลก           ลองมาศึกษาร่วมกันนะครับ ว่า “ผู้หญิงที่ทั้งโลกต้องการ” ต้องมีลักษณะอย่างไรบ้าง หวังว่าเมื่ออ่านจบแล้ว สังคมเราจะมี “ผู้หญิงเก่ง” เพิ่มขึ้นอีกเยอะๆ นะครับ คนนี้เป็นแม่ของเด็กที่เรียกผมว่าพ่อ :)

ชีวิตผม เมื่อพบพระคริสต์ ตอนที่ 1 ชีวิตผมเริ่มจากตรงนั้น

ย้อนกลับไปประมาณเดือนตุลาคม 1987 ขณะเรียนชั้นม.4 โรงเรียนอัสสัมชัญ เพื่อนของผมที่เรียนด้วยกันมาตั้งแต่อนุบาลได้มาประกาศเรื่องพระเยซูคริสต์ให้ผมฟัง ตอนนั้นความสนใจของผมเท่ากับ "ศูนย์" เพราะผมเป็นคนมีนิสัยเรื่อยๆ ไม่คิดถึงวันข้างหน้า ไม่สนใจวันที่ผ่านเลย ทำนองว่ามีชีวิตให้ผ่านไปวันๆ ก็พอแล้ว แต่ก็เหมือนการหว่านเมล็ดพืชลงดิน เราไม่รู้ว่ามันจะงอกเมื่อไหร่ มันมีเวลาของมัน พฤศจิกายน 1987 ผ่านไปแค่เดือนเดียว  พี่ชายผมมาบอกว่า "เป็นคริสเตียนแล้ว" อะไรจะขนาดนั้น เหมือนถูกตีวงล้อม คนใกล้ตัวไหงนิยมเปลี่ยนเป็นคริสเตียน?   อารมณ์ตอนนั้น "ติดลบ" รู้สึกเหมือนทำไมถูกหลอกกันง่ายจริงๆ แป๊บๆ เชื่อ แป๊บๆ เปลี่ยน  ความรู้สึกรักชาติ รักศาสนาเดิม มันร้อนแรงทันที  ผมต่อว่าต่อขานบวกดูหมิ่นเหยียดหยามการตัดสินใจของพี่ชาย..... ผ่านไป 3 เดือน  วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 1988 หลังจากผมเฝ้ามองดูพี่ชายดำเนินชีวิตแปลกๆ (ในความรู้สึกตอนนั้น) วันอาทิตย์ไปโบสถ์แต่เช้า นิสัยเปลี่ยนไป เลิกทะเลาะกับผม (ฮา)  ผมตัดสินใจไปโบสถ์กับพี่ชายเป็นครั้งแรก  แต่เนื่องจากเป็นเด็กมีนิสัยตื่นสายในวันหยุด ก

ชีวิตผม เมื่อพบพระคริสต์ ตอนที่ 2 ศักเคียส กับ บ้านหมอเคน

หลังจากกลับบ้านแบบงงๆ เล็กน้อย เราทำอะไรลงไปเนี่่ย? พูดเล่นพูดจริง? เราเป็นคริสเตียนแล้วเหรอ? พี่เขาบอกว่าพระเยซูเข้ามาในใจแล้ว ไหนล่ะ?  มุดเข้ามาได้ไง?????   แต่ก็อย่างที่บอกครับ ผมเป็นเด็กเรื่อยๆ มาเรียงๆ ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ไม่ได้สนใจจะหาคำตอบอะไรมากมายนัก ตามธรรมเนียมอันดีของคริสตจักรที่ผมไปรับเชื่อคือจะนัดกับผู้ที่เพิ่งต้อนรับพระเยซูในวันรุ่งขึ้น เพื่ออธิบายความเชื่อ ย้ำความเข้าใจกันอีกครั้ง  ผมจึงถูกนัดจากพี่เลี้ยงของผม (พี่ป๊อก) ให้ไปพบที่บ้านหมอเคน ซอยเซ็นหลุยส์ 2 ตอนเลิกเรียน จากโรงเรียนอัสสัมชัญนั่งรถสองแถวจากบางรักออกสาทรเลี้ยวเข้าซอยแป๊บเดียวถึง (อันที่จริงอยากเรียกว่าเกาะรถสองแถวมากกว่า เพราะรถแน่นสุดๆ ห้อยโหนกันเหมือนถุงผักที่แขวนไว้ในรถกระบะขายผักยังไงยังงั้น ^.^") ถ้าคำว่า First Impression ไม่ได้ถูกจำกัดไว้เฉพาะแวดวงการค้าการขาย ผมก็เกิด First Impression ตอนที่มาหาพี่เขาล่ะครับ บ้านหมอเคนดูเรียบร้อย อบอุ่น บ้านไม่ใหญ่มาก มีสวนเล็กๆ มีโต๊ะปิงปองกางไว้เหมือนจะมีคนมาเล่นประจำ ในบ้านไม่หรูหรา แต่ดูมีชีวิตชีวา มารู้ทีหลังว่า หมอเคนและภรรยาเป็นมิชชันนารีจากอังกฤษที่เข