หลังจากกลับบ้านแบบงงๆ เล็กน้อย เราทำอะไรลงไปเนี่่ย? พูดเล่นพูดจริง? เราเป็นคริสเตียนแล้วเหรอ? พี่เขาบอกว่าพระเยซูเข้ามาในใจแล้ว ไหนล่ะ? มุดเข้ามาได้ไง????? แต่ก็อย่างที่บอกครับ ผมเป็นเด็กเรื่อยๆ มาเรียงๆ ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ไม่ได้สนใจจะหาคำตอบอะไรมากมายนัก
ตามธรรมเนียมอันดีของคริสตจักรที่ผมไปรับเชื่อคือจะนัดกับผู้ที่เพิ่งต้อนรับพระเยซูในวันรุ่งขึ้น เพื่ออธิบายความเชื่อ ย้ำความเข้าใจกันอีกครั้ง ผมจึงถูกนัดจากพี่เลี้ยงของผม (พี่ป๊อก) ให้ไปพบที่บ้านหมอเคน ซอยเซ็นหลุยส์ 2 ตอนเลิกเรียน จากโรงเรียนอัสสัมชัญนั่งรถสองแถวจากบางรักออกสาทรเลี้ยวเข้าซอยแป๊บเดียวถึง (อันที่จริงอยากเรียกว่าเกาะรถสองแถวมากกว่า เพราะรถแน่นสุดๆ ห้อยโหนกันเหมือนถุงผักที่แขวนไว้ในรถกระบะขายผักยังไงยังงั้น ^.^")
ถ้าคำว่า First Impression ไม่ได้ถูกจำกัดไว้เฉพาะแวดวงการค้าการขาย ผมก็เกิด First Impression ตอนที่มาหาพี่เขาล่ะครับ บ้านหมอเคนดูเรียบร้อย อบอุ่น บ้านไม่ใหญ่มาก มีสวนเล็กๆ มีโต๊ะปิงปองกางไว้เหมือนจะมีคนมาเล่นประจำ ในบ้านไม่หรูหรา แต่ดูมีชีวิตชีวา มารู้ทีหลังว่า หมอเคนและภรรยาเป็นมิชชันนารีจากอังกฤษที่เข้ามาประกาศเรื่องราวพระเจ้าและช่วยเหลือคริสตจักรท้องถิ่นในด้านต่างๆ แต่สิ่งที่แตะใจหรือเรียกว่าเตะใจวัยรุ่นอย่างผมก็ตรงที่พี่เขาเล่นทำอาหารเย็นรอไว้เลย ทำแบบไม่เกรงใจใครด้วย เพียบครับ สารพัดอย่าง แล้วผมก็เป็นวัยรุ่นสายพันธุ์กินเก่งซะด้วย อร่อยเลยครับ
หลังจากอิ่มท้องแล้ว พี่ป๊อกก็เริ่มแบ่งปันพระคัมภีร์ให้ผมฟัง ก็หนีไม่พ้นเป็นเรื่องสุดฮิตของการสอนผู้เชื่อใหม่อย่างผม ก็คือเรื่องราวของศักเคียส ชายร่างเตี้ยที่ไม่มีใครรัก ไม่มีใครคบหา เพราะทำไม่ดีเอาไว้เยอะ แต่ด้วยใจที่อยากรู้จักพระเยซูจึงปีนต้นไม้ขึ้นไปดู พระเยซูทรงเรียกศักเคียสและไปทานอาหารที่บ้านของเขา แม้คนมากมายจะรังเกียจศักเคียส แต่พระเยซูทรงเรียกเขาอย่างเจาะจง พระองค์ให้ความรัก ความเข้าใจ และยอมรับศักเคียสด้วยความจริงใจ ศักเคียสเปิดใจต้อนรับพระเยซู และให้สัญญาว่าจะแก้ไขสิ่งผิด ชดเชยสิ่งไม่ดีที่ตนทำไว้..... ฟินเลยครับ เปลี่ยนชื่อศักเคียสเป็นศรัณย์ซะหน่อย นี่ล่ะครับ คนในพระคัมภีร์คนแรกที่ผมรู้จัก พี่ป๊อกนำผมอธิษฐานอีกครั้งเพื่อย้ำให้ชัดเจนว่าผมต้อนรับพระเยซูเข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ไม่ใช่หวังแค่มากินข้าวฟรี 555+
จบจากศักเคียส ก็ต่อด้วยนี่เลยครับ เล่นกีต้าร์ คือตอนประมาณ ม.1 ม2 ผมเคยเรียนกีต้าร์คลาสสิก แต่ก็เลิกเล่นไปปีกว่าๆ หันไปอยู่วงโยธวาฑิตของโรงเรียน แต่ก็ยังพอเล่นกีต้าร์ได้ คุยกันไปมากับพี่ป๊อก พอรู้ว่าเล่นได้ พี่แกก็เอามาให้เล่นเลยครับ แล้วบอกว่าจะสอนร้องเพลงคริสเตียนทุกครั้งที่มาเรียนพระคัมภีร์ ครั้งละเพลงสองเพลง ผมก็ ok ครับ สนุกดี ไม่เสียหาย เพลงก็เพราะดีครับ ร้องง่าย เข้าใจง่าย นี่คงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมชอบร้องเพลงและชอบนมัสการ เพราะถูกปลูกฝังไว้ตั้งแต่ Day One เลยทีเดียว อะไรที่เราทำตั้งแต่เริ่มต้นใหม่ๆ มันมักจะติดตัวฝังอยู่ในชีวิตได้ทนนานนะครับ
ในช่วงที่เรียนอัสสัมชัญ ผมแวะไปบ้านหมอเคนอยู่บ่อยๆ ไปแทบจะวันเว้นวัน แล้วผมก็พบว่า ผมไม่ได้เป็นวัยรุ่นคนเดียวนะครับที่เป็นคริสเตียน มีอีกเพียบบบบบ ผมถูกชวนให้ไปร่วมกลุ่มสร้างสรรค์ชีวิต เรียกย่อๆ ว่ากลุ่มเซล (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเรียกเป็นกลุ่มแคร์) แล้วผมก็ surprise เพื่อนคนแรกที่เป็นพยานกับผม (อาร์ท ศุภฤกษ์) เจอกันในกลุ่มเซลครับ ตกใจหมดเลย 555 บอกแล้วไงครับ การประกาศก็เหมือนการหว่านเมล็ดพืช เราไม่รู้ว่ามันจะงอกเมื่อไหร่ เพื่อนผมก็ไม่รู้ครับ ก็ดีใจกันไป เพื่อนมาแล้ว แต่ที่ surprise ขึ้นอีก ก็คือ เพื่อนผมสมัยเรียน ม.1 (ที่ผมชอบแกล้งเขาตลอด....นิสัยไม่ดีนะครับเนี่ย) ก็มาเชื่อพระเจ้าด้วย คือคนนี้เขาจบม.3 แล้วไปเรียนต่อที่ ACC (อัสสัมชัญพาณิชย์) เราเลยไม่เจอกัน แต่มาเจอกันในกลุ่มเซลครับ เขาเพิ่งมาเชื่อพระเจ้าได้ไม่นานเหมือนกัน แหม อบอุ่นจริงๆ ครับ เพื่อนเยอะเลย มีนักเรียนจากกรุงเทพคริสเตียนมาด้วย เยอะครับ เป็นสิบคนได้ ผมก็แหมโรงเรียนในเครือจตุรมิตร 555 เกร็งเล็กน้อยครับ แต่ก็สนุกดี ไม่มีท้าตีท้าต่อย มีเพื่อนจากโรงเรียนผู้หญิงด้วยนะครับ !!!! ต้องบอกว่าผมอยู่โรงเรียนชายล้วนมาตั้งแต่ป.1 ไม่คุ้นเท่าไหร่กับการร่วมกิจกรรมกับสาวๆ แต่ตอนนั้นเป็นเด็กดีครับ ไม่คิดอะไรมาก ก็สนุกดี เพื่อนเยอะ หลายสถาบัน ต่างวัย ต่างอารมณ์ แต่เราสนิทกันเร็วมาก มีพี่ๆ ป้าๆ น้าๆ มารวมกลุ่มด้วย อบอุ่นดีครับ ผมเหมือนพบสังคมใหม่ที่ผมไม่เคยเจอ แม้เราแตกต่างกันแต่เราก็เป็นเพื่อนกัน
ผมเริ่มก้าวเดินในความเป็นคริสเตียนที่บ้านหมอเคน เป็นการเริ่มต้นที่มีความหมาย เต็มไปด้วยมิตรภาพและความทรงจำดีๆ ชีวิตเราก็คงไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่าความรัก ความผูกพัน เพื่อน กับการอยู่อย่างมีคุณค่าและความหมาย ผมได้รับสิ่งเหล่านี้เมื่อผมก้าวเดินในทางของพระเจ้า...เริ่มจากที่บ้านหมอเคน
ตามธรรมเนียมอันดีของคริสตจักรที่ผมไปรับเชื่อคือจะนัดกับผู้ที่เพิ่งต้อนรับพระเยซูในวันรุ่งขึ้น เพื่ออธิบายความเชื่อ ย้ำความเข้าใจกันอีกครั้ง ผมจึงถูกนัดจากพี่เลี้ยงของผม (พี่ป๊อก) ให้ไปพบที่บ้านหมอเคน ซอยเซ็นหลุยส์ 2 ตอนเลิกเรียน จากโรงเรียนอัสสัมชัญนั่งรถสองแถวจากบางรักออกสาทรเลี้ยวเข้าซอยแป๊บเดียวถึง (อันที่จริงอยากเรียกว่าเกาะรถสองแถวมากกว่า เพราะรถแน่นสุดๆ ห้อยโหนกันเหมือนถุงผักที่แขวนไว้ในรถกระบะขายผักยังไงยังงั้น ^.^")
ถ้าคำว่า First Impression ไม่ได้ถูกจำกัดไว้เฉพาะแวดวงการค้าการขาย ผมก็เกิด First Impression ตอนที่มาหาพี่เขาล่ะครับ บ้านหมอเคนดูเรียบร้อย อบอุ่น บ้านไม่ใหญ่มาก มีสวนเล็กๆ มีโต๊ะปิงปองกางไว้เหมือนจะมีคนมาเล่นประจำ ในบ้านไม่หรูหรา แต่ดูมีชีวิตชีวา มารู้ทีหลังว่า หมอเคนและภรรยาเป็นมิชชันนารีจากอังกฤษที่เข้ามาประกาศเรื่องราวพระเจ้าและช่วยเหลือคริสตจักรท้องถิ่นในด้านต่างๆ แต่สิ่งที่แตะใจหรือเรียกว่าเตะใจวัยรุ่นอย่างผมก็ตรงที่พี่เขาเล่นทำอาหารเย็นรอไว้เลย ทำแบบไม่เกรงใจใครด้วย เพียบครับ สารพัดอย่าง แล้วผมก็เป็นวัยรุ่นสายพันธุ์กินเก่งซะด้วย อร่อยเลยครับ
หลังจากอิ่มท้องแล้ว พี่ป๊อกก็เริ่มแบ่งปันพระคัมภีร์ให้ผมฟัง ก็หนีไม่พ้นเป็นเรื่องสุดฮิตของการสอนผู้เชื่อใหม่อย่างผม ก็คือเรื่องราวของศักเคียส ชายร่างเตี้ยที่ไม่มีใครรัก ไม่มีใครคบหา เพราะทำไม่ดีเอาไว้เยอะ แต่ด้วยใจที่อยากรู้จักพระเยซูจึงปีนต้นไม้ขึ้นไปดู พระเยซูทรงเรียกศักเคียสและไปทานอาหารที่บ้านของเขา แม้คนมากมายจะรังเกียจศักเคียส แต่พระเยซูทรงเรียกเขาอย่างเจาะจง พระองค์ให้ความรัก ความเข้าใจ และยอมรับศักเคียสด้วยความจริงใจ ศักเคียสเปิดใจต้อนรับพระเยซู และให้สัญญาว่าจะแก้ไขสิ่งผิด ชดเชยสิ่งไม่ดีที่ตนทำไว้..... ฟินเลยครับ เปลี่ยนชื่อศักเคียสเป็นศรัณย์ซะหน่อย นี่ล่ะครับ คนในพระคัมภีร์คนแรกที่ผมรู้จัก พี่ป๊อกนำผมอธิษฐานอีกครั้งเพื่อย้ำให้ชัดเจนว่าผมต้อนรับพระเยซูเข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ไม่ใช่หวังแค่มากินข้าวฟรี 555+
จบจากศักเคียส ก็ต่อด้วยนี่เลยครับ เล่นกีต้าร์ คือตอนประมาณ ม.1 ม2 ผมเคยเรียนกีต้าร์คลาสสิก แต่ก็เลิกเล่นไปปีกว่าๆ หันไปอยู่วงโยธวาฑิตของโรงเรียน แต่ก็ยังพอเล่นกีต้าร์ได้ คุยกันไปมากับพี่ป๊อก พอรู้ว่าเล่นได้ พี่แกก็เอามาให้เล่นเลยครับ แล้วบอกว่าจะสอนร้องเพลงคริสเตียนทุกครั้งที่มาเรียนพระคัมภีร์ ครั้งละเพลงสองเพลง ผมก็ ok ครับ สนุกดี ไม่เสียหาย เพลงก็เพราะดีครับ ร้องง่าย เข้าใจง่าย นี่คงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมชอบร้องเพลงและชอบนมัสการ เพราะถูกปลูกฝังไว้ตั้งแต่ Day One เลยทีเดียว อะไรที่เราทำตั้งแต่เริ่มต้นใหม่ๆ มันมักจะติดตัวฝังอยู่ในชีวิตได้ทนนานนะครับ
ในช่วงที่เรียนอัสสัมชัญ ผมแวะไปบ้านหมอเคนอยู่บ่อยๆ ไปแทบจะวันเว้นวัน แล้วผมก็พบว่า ผมไม่ได้เป็นวัยรุ่นคนเดียวนะครับที่เป็นคริสเตียน มีอีกเพียบบบบบ ผมถูกชวนให้ไปร่วมกลุ่มสร้างสรรค์ชีวิต เรียกย่อๆ ว่ากลุ่มเซล (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเรียกเป็นกลุ่มแคร์) แล้วผมก็ surprise เพื่อนคนแรกที่เป็นพยานกับผม (อาร์ท ศุภฤกษ์) เจอกันในกลุ่มเซลครับ ตกใจหมดเลย 555 บอกแล้วไงครับ การประกาศก็เหมือนการหว่านเมล็ดพืช เราไม่รู้ว่ามันจะงอกเมื่อไหร่ เพื่อนผมก็ไม่รู้ครับ ก็ดีใจกันไป เพื่อนมาแล้ว แต่ที่ surprise ขึ้นอีก ก็คือ เพื่อนผมสมัยเรียน ม.1 (ที่ผมชอบแกล้งเขาตลอด....นิสัยไม่ดีนะครับเนี่ย) ก็มาเชื่อพระเจ้าด้วย คือคนนี้เขาจบม.3 แล้วไปเรียนต่อที่ ACC (อัสสัมชัญพาณิชย์) เราเลยไม่เจอกัน แต่มาเจอกันในกลุ่มเซลครับ เขาเพิ่งมาเชื่อพระเจ้าได้ไม่นานเหมือนกัน แหม อบอุ่นจริงๆ ครับ เพื่อนเยอะเลย มีนักเรียนจากกรุงเทพคริสเตียนมาด้วย เยอะครับ เป็นสิบคนได้ ผมก็แหมโรงเรียนในเครือจตุรมิตร 555 เกร็งเล็กน้อยครับ แต่ก็สนุกดี ไม่มีท้าตีท้าต่อย มีเพื่อนจากโรงเรียนผู้หญิงด้วยนะครับ !!!! ต้องบอกว่าผมอยู่โรงเรียนชายล้วนมาตั้งแต่ป.1 ไม่คุ้นเท่าไหร่กับการร่วมกิจกรรมกับสาวๆ แต่ตอนนั้นเป็นเด็กดีครับ ไม่คิดอะไรมาก ก็สนุกดี เพื่อนเยอะ หลายสถาบัน ต่างวัย ต่างอารมณ์ แต่เราสนิทกันเร็วมาก มีพี่ๆ ป้าๆ น้าๆ มารวมกลุ่มด้วย อบอุ่นดีครับ ผมเหมือนพบสังคมใหม่ที่ผมไม่เคยเจอ แม้เราแตกต่างกันแต่เราก็เป็นเพื่อนกัน
ผมเริ่มก้าวเดินในความเป็นคริสเตียนที่บ้านหมอเคน เป็นการเริ่มต้นที่มีความหมาย เต็มไปด้วยมิตรภาพและความทรงจำดีๆ ชีวิตเราก็คงไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่าความรัก ความผูกพัน เพื่อน กับการอยู่อย่างมีคุณค่าและความหมาย ผมได้รับสิ่งเหล่านี้เมื่อผมก้าวเดินในทางของพระเจ้า...เริ่มจากที่บ้านหมอเคน
![]() |
ที่บ้านหมอเคนกับเพื่อนๆ หลายโรงเรียนเลยครับ ไม่รู้ผมจะถือกล้วยไว้ทำไม 555 |
ความคิดเห็น