ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ชีวิตผม เมื่อพบพระคริสต์ ตอนที่ 1 ชีวิตผมเริ่มจากตรงนั้น

ย้อนกลับไปประมาณเดือนตุลาคม 1987 ขณะเรียนชั้นม.4 โรงเรียนอัสสัมชัญ เพื่อนของผมที่เรียนด้วยกันมาตั้งแต่อนุบาลได้มาประกาศเรื่องพระเยซูคริสต์ให้ผมฟัง ตอนนั้นความสนใจของผมเท่ากับ "ศูนย์" เพราะผมเป็นคนมีนิสัยเรื่อยๆ ไม่คิดถึงวันข้างหน้า ไม่สนใจวันที่ผ่านเลย ทำนองว่ามีชีวิตให้ผ่านไปวันๆ ก็พอแล้ว แต่ก็เหมือนการหว่านเมล็ดพืชลงดิน เราไม่รู้ว่ามันจะงอกเมื่อไหร่ มันมีเวลาของมัน

พฤศจิกายน 1987 ผ่านไปแค่เดือนเดียว  พี่ชายผมมาบอกว่า "เป็นคริสเตียนแล้ว" อะไรจะขนาดนั้น เหมือนถูกตีวงล้อม คนใกล้ตัวไหงนิยมเปลี่ยนเป็นคริสเตียน?   อารมณ์ตอนนั้น "ติดลบ" รู้สึกเหมือนทำไมถูกหลอกกันง่ายจริงๆ แป๊บๆ เชื่อ แป๊บๆ เปลี่ยน  ความรู้สึกรักชาติ รักศาสนาเดิม มันร้อนแรงทันที  ผมต่อว่าต่อขานบวกดูหมิ่นเหยียดหยามการตัดสินใจของพี่ชาย.....

ผ่านไป 3 เดือน  วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 1988 หลังจากผมเฝ้ามองดูพี่ชายดำเนินชีวิตแปลกๆ (ในความรู้สึกตอนนั้น) วันอาทิตย์ไปโบสถ์แต่เช้า นิสัยเปลี่ยนไป เลิกทะเลาะกับผม (ฮา)  ผมตัดสินใจไปโบสถ์กับพี่ชายเป็นครั้งแรก  แต่เนื่องจากเป็นเด็กมีนิสัยตื่นสายในวันหยุด กว่าจะไปถึงโบสถ์ก็บ่ายแก่ๆ ซะแล้ว  ผมนั่งฟังเทศนาด้วยความรู้สึก "พูดอะไรอยู่เนี่ย....."  ผมจึงชวนพี่คนหนึ่งในคริสตจักรที่มาดูแลต้อนรับผมคุย คุยไปคุยมา พี่ที่นั่งแถวข้างหน้าหันกลับมาบอกว่า "น้องครับ ถ้าจะคุยกัน ไปคุยกันข้างนอกนะครับ"  โอ้โห อะไรขนาดนั้น ความรู้สึกหนึ่งก็ว่า "ฉันเป็นแขกรับเชิญนะเฟ้ย"  อีกความรู้สึกหนึ่งก็ว่า "แปลกดีนะ ทำไมพวกเขาจริงจังขนาดนี้"

ผมนั่งฟังเทศนาไปจนจบ ไม่มีการเรียกให้ต้อนรับพระเยซูคริสต์เพราะเป็นรอบเย็นแล้ว ปกติจะมีแต่สมาชิกประจำเข้านมัสการ
"ผมเชื่อแล้ว...แล้วจะกลับมาอีก"
หลังจากประมวลความคิดตลอดตั้้งแต่ตุลาคมจนถึง ณ เวลานั้น  ผมเขียนโน้ต (ไม่กล้าคุยแล้วครับ กลัว 555) ไปบอกพี่ที่นั่งข้างๆ ว่า "ผมเชื่อแล้ว แล้วจะกลับมาอีก !!!  (เขียนเหมือนคนเหล็กไม๊ครับ  I'll be Back !!!)   พี่เขาก็ทำหน้างงๆ คงจะคิดทำนองว่า เออแปลกดี คุยตั้งนานไม่ยอมเชื่อ ปล่อยให้นั่งฟังเทศน์แบบงงๆ ไปเรื่อยๆ ดันเชื่อแหะ

พี่คนนั้นพาผมพร้อมกับพี่ชายขึ้นไปบนดาดฟ้าคริสตจักร ผมจำได้แม่นว่าเวลา 5 โมงเย็น  ผมอธิษฐานต้อนรับพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของผม  แม้ผมไม่รู้อะไรมากนัก แต่ผมก็มีความตั้งใจว่าจะลองดูซักครั้ง พิสูจน์กับตัวเอง ไม่มีอะไรเสียหายนี่ พวกพี่ๆ เขาก็น่ารักกันทุกคน ไม่มีใครสูบบุหรี่ ไม่มีใครพูดหยาบคาย มีแต่คนยิ้มแย้มแจ่มใส และต้อนรับผมอย่างดีแม้ผมเป็นแค่วัยรุ่นธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้นเอง  ผมคิดแบบนั้น

นั่นคือ Day One สำหรับชีวิตใหม่ของผม ชีวิตที่มีพระคริสต์ประทับอยู่ในใจ สมองว่างเปล่า ยังไม่รู้อะไรเลย จนกระทั่งเย็นวันจันทร์ วันที่ผมเริ่มต้นเรียนพระคัมภีร์เป็นครั้งแรกในชีวิตกับพี่เลี้ยงคนแรกของผม......

นักเรียนชั้นม.4 โรงเรียนอัสสัมชัญ ถ่ายที่บ้านหมอเคน เซนต์หลุยส์ 2


เนื่องจากเป็นคนตัวใหญ่ งานใช้แรงจึงเป็นของคู่กัน

ความคิดเห็น

ชอบๆครับ จัดมาอีก
Saran Leelahakriengkrai กล่าวว่า
ขอบคุณครับอ.เล็ก ตอนนี้เขียนได้ 3 ตอนแล้วครับ

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

คริสเตียนกับการเมืองที่ร้อนแรง (และน่าเบื่อในเวลาเดียวกัน)

การเมืองคือการจัดสรรอำนาจในการบริหารทรัพยากรและการปกครองบ้านเมือง ตัวมันเองไม่มีอะไรเสียหาย เป็นสิ่งดี มีความจำเป็น ทำให้เกิดกติกาสังคม ทุกคนอยู่ร่วมกันได้อย่างปกติสุข แต่เมื่อเราอยู่ในโลกที่ไม่สมบูรณ์ เจือด้วยความบาป มันก็ย่อมเห็นความเสื่อมไม่มากก็น้อย ซึ่งมีอยู่ในทุกแวดวง ไม่ใช่แค่การเมือง ลองมองไปที่สื่อ มองไปที่การศึกษา มองไปที่ระบบยุติธรรม มองไปที่ระบบสาธารณสุข มองไปที่แวดวงธุรกิจ หรือแม้แต่มองไปที่แวดวง NGO ฯลฯ ทุกแวดวงล้วนมีความเสื่อมถอยอันเกิดจากความบาป ถ้าเราเข้าใจแบบนี้ เราก็จะไม่ไปติดอยู่กับกับดักทางอารมณ์ที่เกิดจากปัญหาการเมือง ลึกๆ มันเป็นเรื่องของโลกความบาป ปัญหาการเมืองเป็นแค่ฝีหนึ่งเม็ดที่แตกออกมา เนื้อในอยู่ที่รากไม่ใช่อยู่ที่แผลที่แตกออกมา พระเจ้าให้คริสเตียนมีบทบาทสำคัญคือการเป็นเกลือและแสงสว่าง เข้าใจโลกแต่ไม่ตกอยู่ภายใต้การครอบงำของโลก เห็นใจคนอื่น แต่ไม่เดินตามความไม่ดีของผู้อื่น ทำหน้าที่ตามพลเมืองที่ดี แต่ไม่ทำหน้าที่รับใช้ใครให้ทำผิดบาป พระเยซูบอกว่าทางแคบจะนำไปถึงทางแห่งความรอด เราเป็นคริสเตียน พื้นที่เดินของเราจะแคบกว่าคนในโลกที่ไม่มีพระเจ้า...

ชีวิตผม เมื่อพบพระคริสต์ ตอนที่ 2 ศักเคียส กับ บ้านหมอเคน

หลังจากกลับบ้านแบบงงๆ เล็กน้อย เราทำอะไรลงไปเนี่่ย? พูดเล่นพูดจริง? เราเป็นคริสเตียนแล้วเหรอ? พี่เขาบอกว่าพระเยซูเข้ามาในใจแล้ว ไหนล่ะ?  มุดเข้ามาได้ไง?????   แต่ก็อย่างที่บอกครับ ผมเป็นเด็กเรื่อยๆ มาเรียงๆ ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ไม่ได้สนใจจะหาคำตอบอะไรมากมายนัก ตามธรรมเนียมอันดีของคริสตจักรที่ผมไปรับเชื่อคือจะนัดกับผู้ที่เพิ่งต้อนรับพระเยซูในวันรุ่งขึ้น เพื่ออธิบายความเชื่อ ย้ำความเข้าใจกันอีกครั้ง  ผมจึงถูกนัดจากพี่เลี้ยงของผม (พี่ป๊อก) ให้ไปพบที่บ้านหมอเคน ซอยเซ็นหลุยส์ 2 ตอนเลิกเรียน จากโรงเรียนอัสสัมชัญนั่งรถสองแถวจากบางรักออกสาทรเลี้ยวเข้าซอยแป๊บเดียวถึง (อันที่จริงอยากเรียกว่าเกาะรถสองแถวมากกว่า เพราะรถแน่นสุดๆ ห้อยโหนกันเหมือนถุงผักที่แขวนไว้ในรถกระบะขายผักยังไงยังงั้น ^.^") ถ้าคำว่า First Impression ไม่ได้ถูกจำกัดไว้เฉพาะแวดวงการค้าการขาย ผมก็เกิด First Impression ตอนที่มาหาพี่เขาล่ะครับ บ้านหมอเคนดูเรียบร้อย อบอุ่น บ้านไม่ใหญ่มาก มีสวนเล็กๆ มีโต๊ะปิงปองกางไว้เหมือนจะมีคนมาเล่นประจำ ในบ้านไม่หรูหรา แต่ดูมีชีวิตชีวา มารู้ทีหลังว่า หมอเคนและภรรยาเป็นมิชชันนารีจากอั...