ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ผู้หญิงที่ทั้งโลกต้องการ


ผู้หญิงที่ทั้งโลกต้องการ

          เป็นเรื่องที่ดีที่ระยะหลังมานี้ ดูเหมือนว่าผู้หญิงจะได้รับการยอมรับมากขึ้นเรื่อยๆ นักการเมืองหญิงเก่งๆ ก็มาก ระดับผู้นำประเทศที่เป็นผู้หญิงก็เริ่มมีให้เห็นมากขึ้น นักธุรกิจ ผู้นำองค์กรที่เป็นผู้หญิงก็มีไม่น้อย โดยเฉพาะในสังคมไทยที่ไม่นานมานี้ได้รับการจัดอันดับว่าเป็นประเทศที่มีผู้หญิงดำรงตำแหน่งระดับสูงในองค์กรต่างๆ มากที่สุดในโลกประเทศหนึ่งเลยทีเดียว

          ผู้หญิงหลายคนคงอยากได้รับคำชมเช่นกันว่าเป็น “ผู้หญิงเก่ง”  เมื่อผมนึกถึงคำว่า “ผู้หญิงเก่ง” ก็ทำให้นึกถึงพระคัมภีร์ตอนหนึ่งในพระธรรมสุภาษิตบทที่ 31 ที่พูดถึงลักษณะของผู้หญิงเก่งในระดับ “ผู้หญิงที่ทั้งโลกต้องการ” กันเลยทีเดียว เพราะพระคัมภีร์ตอนนี้เป็นคำชมของกษัตริย์โซโลมอน ผู้เป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ ร่ำรวย และเฉลียวฉลาดที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์โลก

          ลองมาศึกษาร่วมกันนะครับ ว่า “ผู้หญิงที่ทั้งโลกต้องการ” ต้องมีลักษณะอย่างไรบ้าง หวังว่าเมื่ออ่านจบแล้ว สังคมเราจะมี “ผู้หญิงเก่ง” เพิ่มขึ้นอีกเยอะๆ นะครับ
คนนี้เป็นแม่ของเด็กที่เรียกผมว่าพ่อ :)

          ประการแรก กษัตริย์โซโลมอนได้ชมเชยผู้หญิงว่าเป็น “ภรรยาผู้เป็นที่รัก” (อ่านข้อที่ 11,12,28 และ 29)  มีคำกล่าวว่า ชายใดได้ภรรยาดี ชายคนนั้นเป็นผู้มีความสุขที่สุดคนหนึ่งในโลก  ผู้หญิงเก่งที่แท้จริง ไม่ได้เก่งแค่นอกบ้านหรือเก่งในที่ทำงาน แต่เมื่ออยู่ที่บ้าน เธอจะเป็นภรรยาผู้น่ารัก เอาใจใส่ และสดชื่น ผู้หญิงที่หวังว่าจะได้แต่งงานพึงตระหนักเรื่องนี้ไว้นะครับ
          
              ประการที่สอง ผู้หญิงเก่งคนนี้ยังเป็น “คุณแม่ที่ดีของลูก” (อ่านข้อที่ 26,28 และ 29) เมื่อแต่งงานมีครอบครัวแล้ว เกือบร้อยทั้งร้อยก็จะมีลูกเป็นของตัวเอง และบทบาทที่สำคัญที่สุดก็ตกเป็นของผู้หญิง คือบทบาทของการเป็นแม่ ประวัติศาสตร์บอกไว้บ่อยครั้งมากว่า เบื้องหลังความสำเร็จของผู้นำในสังคมในแวดวงต่างๆ มีคุณแม่เป็นส่วนประกอบที่สำคัญมาก ดังนั้นคุณผู้หญิงเก่งทั้งหลายที่มีครอบครัวแล้ว ความเก่งของคุณะถูกพิสูจน์ผ่านชีวิตของลูกๆ ภาษิตต่างประเทศบอกว่า "สิ่งดีที่คุณพ่อจะสามารถมอบให้กับลูกๆ ได้ คือ รักคุณแม่ของพวกเขาให้มากๆ" ฝากคุณสามีนะครับ ให้กำลังภรรยาของคุณเสมอ โดยเฉพาะภรรยาที่เป็นคุณแม่ ความตึงเครียดและแรงกดดันต่างๆ จะมากเป็นพิเศษ
              
             ประการที่สาม นอกจากเป็นภรรยาและคุณแม่แล้ว เธอยังเป็น “แม่บ้านที่ยอดเยี่ยม” อีกด้วย (อ่านข้อที่ 15,19,21 และ 27) มีคำกล่าวว่า เราสามารถรู้จักใครสักคนได้ด้วยการมองดูสภาพบ้านเรือนของเขา ยุคสมัยนี้อาจมีหลายคนบอกว่าผู้หญิงสมัยนี้ไม่ต้องทำงานบ้านแล้ว เพราะการทำหน้าที่แม่บ้านเป็นตัวแทนของยุคสมัยเก่าที่ผู้หญิงเป็นเบี้ยล่าง ต้องอยู่กับเย้าเฝ้ากับเรือน เป็นเรื่องน่าเบื่อ  แต่อันที่จริงการเป็นแม่บ้านที่ดูแลบ้านเรือนอย่างดีกลับเป็นตัวส่งเสริมความเป็นผู้หญิงเก่ง ทำให้เธอดูดีมีเสน่ห์ขึ้นมาทันที
          
           ประการที่สี่ เก่งในบ้านยังไม่พอ ต้องเป็น “คนทำงานที่ชำนาญ” ด้วย (อ่านข้อที่ 13,14,16,17,18 และ 24) ครอบครัวเป็นเรื่องระหว่าง "เราสองคน" ภาระหน้าที่ในการทำงานประกอบอาชีพเลี้ยงดูครัวเรือนจึงเป็นความรับผิดชอบของทั้งสองฝ่าย แม้ผู้ชายดูจะมีบทบาทมากกว่าแต่ก็ใช่ว่าผู้หญิงจะทำอะไรไม่ได้เลย ผู้หญิงก็มีความเก่งในตัว พระเจ้าสร้างผู้หญิงให้มีความสามารถหลายอย่างที่เก่งกว่าผู้ชายเสียอีก
          
            ประการสุดท้าย เธอเป็น “สตรีผู้เป็นแบบอย่าง” ในเรื่องต่างๆ ได้เป็นอย่างดี (อ่านข้อ 20,22,23,25 และ 30) ผู้หญิงงามงามที่ใจใช่แต่งตัว ผู้หญิงเก่งแบบพระคัมภีร์ต้องมีคุณลักษณะชีวิตที่ดีน่ายกย่อง ไม่ว่าจะเป็นการวางตัวที่เหมาะสม ความมีน้ำใจต่อคนรอบตัว การประพฤติปฏิบัติตัวในทางแห่งความชอบธรรม ผู้หญิงเก่งที่แท้จริงต้องไม่ใช่แค่เก่ง ต้องเป็นคนดีด้วย

อ่านถึงตรงนี้แล้ว หวังว่าพี่น้องจะมีคุณสมบัติของผู้หญิงเก่งอย่างน้อยสักสองสามประการนะครับ ข้อไหนที่เรายังบกพร่อง ลองตั้งใจอีกครั้ง ขอพระเจ้าทรงช่วยเรา  และสำหรับเดือนสิงหาคมซึ่งถือเป็นเดือนของแม่  “ผู้หญิงเก่ง” อีกคนหนึ่งที่อยู่ใกล้ตัวคุณที่สุดก็คือ “คุณแม่” ท่านอาจไม่ใช่ผู้นำประเทศ อาจไม่ใช่เจ้าของบริษัทใหญ่โต อาจไม่ได้ถูกจารึกชื่อไว้ในทำเนียบคนดัง แต่เธอคือบุคคลสำคัญที่สุดคนหนึ่งในชีวิต ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของบรรดาผู้ประสบความสำเร็จทั้งหลายในโลก  อย่าลืมที่จะกลับบ้านไปบอกท่านว่า ท่านคือ “ผู้หญิงเก่ง ที่ทั้งโลกต้องการ”


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ชีวิตผม เมื่อพบพระคริสต์ ตอนที่ 1 ชีวิตผมเริ่มจากตรงนั้น

ย้อนกลับไปประมาณเดือนตุลาคม 1987 ขณะเรียนชั้นม.4 โรงเรียนอัสสัมชัญ เพื่อนของผมที่เรียนด้วยกันมาตั้งแต่อนุบาลได้มาประกาศเรื่องพระเยซูคริสต์ให้ผมฟัง ตอนนั้นความสนใจของผมเท่ากับ "ศูนย์" เพราะผมเป็นคนมีนิสัยเรื่อยๆ ไม่คิดถึงวันข้างหน้า ไม่สนใจวันที่ผ่านเลย ทำนองว่ามีชีวิตให้ผ่านไปวันๆ ก็พอแล้ว แต่ก็เหมือนการหว่านเมล็ดพืชลงดิน เราไม่รู้ว่ามันจะงอกเมื่อไหร่ มันมีเวลาของมัน พฤศจิกายน 1987 ผ่านไปแค่เดือนเดียว  พี่ชายผมมาบอกว่า "เป็นคริสเตียนแล้ว" อะไรจะขนาดนั้น เหมือนถูกตีวงล้อม คนใกล้ตัวไหงนิยมเปลี่ยนเป็นคริสเตียน?   อารมณ์ตอนนั้น "ติดลบ" รู้สึกเหมือนทำไมถูกหลอกกันง่ายจริงๆ แป๊บๆ เชื่อ แป๊บๆ เปลี่ยน  ความรู้สึกรักชาติ รักศาสนาเดิม มันร้อนแรงทันที  ผมต่อว่าต่อขานบวกดูหมิ่นเหยียดหยามการตัดสินใจของพี่ชาย..... ผ่านไป 3 เดือน  วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 1988 หลังจากผมเฝ้ามองดูพี่ชายดำเนินชีวิตแปลกๆ (ในความรู้สึกตอนนั้น) วันอาทิตย์ไปโบสถ์แต่เช้า นิสัยเปลี่ยนไป เลิกทะเลาะกับผม (ฮา)  ผมตัดสินใจไปโบสถ์กับพี่ชายเป็นครั้งแรก  แต่เนื่องจากเป็นเด็กมีนิสัยตื่นสายในวันหยุด ก

ชีวิตผม เมื่อพบพระคริสต์ ตอนที่ 2 ศักเคียส กับ บ้านหมอเคน

หลังจากกลับบ้านแบบงงๆ เล็กน้อย เราทำอะไรลงไปเนี่่ย? พูดเล่นพูดจริง? เราเป็นคริสเตียนแล้วเหรอ? พี่เขาบอกว่าพระเยซูเข้ามาในใจแล้ว ไหนล่ะ?  มุดเข้ามาได้ไง?????   แต่ก็อย่างที่บอกครับ ผมเป็นเด็กเรื่อยๆ มาเรียงๆ ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ไม่ได้สนใจจะหาคำตอบอะไรมากมายนัก ตามธรรมเนียมอันดีของคริสตจักรที่ผมไปรับเชื่อคือจะนัดกับผู้ที่เพิ่งต้อนรับพระเยซูในวันรุ่งขึ้น เพื่ออธิบายความเชื่อ ย้ำความเข้าใจกันอีกครั้ง  ผมจึงถูกนัดจากพี่เลี้ยงของผม (พี่ป๊อก) ให้ไปพบที่บ้านหมอเคน ซอยเซ็นหลุยส์ 2 ตอนเลิกเรียน จากโรงเรียนอัสสัมชัญนั่งรถสองแถวจากบางรักออกสาทรเลี้ยวเข้าซอยแป๊บเดียวถึง (อันที่จริงอยากเรียกว่าเกาะรถสองแถวมากกว่า เพราะรถแน่นสุดๆ ห้อยโหนกันเหมือนถุงผักที่แขวนไว้ในรถกระบะขายผักยังไงยังงั้น ^.^") ถ้าคำว่า First Impression ไม่ได้ถูกจำกัดไว้เฉพาะแวดวงการค้าการขาย ผมก็เกิด First Impression ตอนที่มาหาพี่เขาล่ะครับ บ้านหมอเคนดูเรียบร้อย อบอุ่น บ้านไม่ใหญ่มาก มีสวนเล็กๆ มีโต๊ะปิงปองกางไว้เหมือนจะมีคนมาเล่นประจำ ในบ้านไม่หรูหรา แต่ดูมีชีวิตชีวา มารู้ทีหลังว่า หมอเคนและภรรยาเป็นมิชชันนารีจากอังกฤษที่เข