ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

บัญญัติรักสิบประการ

น้องๆ ในคริสตจักรตั้งกระทู้ถามกันใน facebook ว่า ผู้หญิงอยากให้ผู้ชายเป็นยังไง นั่งลงคิดไปคิดมา เลยลองสรุปมาให้
ผู้หญิงชอบผู้ชายที่....

1) มีพระเจ้าในชีวิต ไม่ใช่แค่มีไว้แขวนคอหรือมีไว้เหมือนมียางอะไหล่ ยางแตกถึงจะสนใจ
2) รับผิดชอบทุกเรื่องแม้เรื่องเล็กน้อย ไม่ทำตัวเหมือนตุ๊กตาไขลาน
3) แมน! ผู้หญิงร้อยทั้งพันชอบสุภาพบุรุษ ต่อให้คุณเธอจะมั่นแค่ไหน ก็ต้องยอมกับคุณชายสุภาพบุรุษ
4) ไม่เจ้าชู้ ผู้หญิงเขาพิจารณาผู้ชายทีละคน ไม่เหมือนผู้ชายชอบเอาผู้หญิงมาขึ้น list แล้วค่อยๆ ตัด choice
5) ไม่เร่งไม่รีบ จะรีบไปทำไม แต่งงานผิดคิดจนอยากแข่งกันตาย มีเพื่อนเยอะๆ ไปก่อนปลอดภัยที่สุด
6) เป็นผู้นำ กล้าคิด กล้าตัดสินใจ ควบคุมเนื้อหนังได้ดี
‎7) เป็นนักฟังที่ดี แม้ในความเป็นจริงผู้ชายจะพูดไม่ค่อยทันผู้หญิง แต่เอาเข้าจริงใช่ว่าจะฟังซะที่ไหน ใจมัวแต่เหม่อไปเรื่อยเปื่อย
8) เอนกประสงค์ สารพัดประโยชน์ เหมือนกาวยู้ฮู แม้ตำราหญิงไทยจะบอกว่างานบ้านเป็นของแม่หญิง แต่ในความเป็นจริง การทำงานบ้านได้ทุกอย่าง เป็นเสน่ห์สุดๆ ของชายไทย งานหนักงานเบา ซ่อมโน่นซ่อมนี่ หุงข้าว ทอดไข่ ซักตากรีดพับ สารพัดจะจัดไป
9) ไม่ต้องหล่อขั้นเทพ แต่ขอให้สุขภาพดี ความหล่อเป็นเรื่องตามยุคสมัย ใครจะไปรู้ วันหนึ่งจะเป็นของเรา ลึกๆ ผู้หญิงชอบผู้ชายหน้าตาสะอาดสะอ้าน ปากไม่เหม็น ตัวไม่มีเต่า เสื้อผ้าหน้าผมไม่ยับยู่ยี่ แม้เธอจะบอกว่าชอบแบบเซอๆ แต่ไม่ได้หมายความว่าชอบสกปรกนะครับ :)
10) สุดท้ายย่อมสำคัญที่สุด ไม่มีอะไรสำคัญกว่าความรัก ไม่ว่าหญิงไม่ว่าชาย จะคบหาดูใจ ต้องเริ่มจากความรัก ความรักไม่ใช่ความใคร่ลุ่มหลงกรี๊ดกร๊าดไปตามเพื่อน แต่เป็นความอดทนรอคอย ความรักที่ตั้งใจจะเป็นผู้ให้ไม่ใช่ผู้รับ ความรักที่บริสุทธิ์ชอบธรรมของพระเจ้า

หวังว่าบัญญัติรักสิบประการ จากประสบการณ์ของผม จะช่วยเสริมเติมแต่งให้น้องๆ นักเรียนนักศึกษา (ที่ถึงวัย) ก้าวเดินอย่างมั่นคง ไม่พลาดพลั้ง ไม่ต้องมาเสียใจภายหลังนะจ๊ะ น้องรักทั้งหลาย

ด้วยรักจากใจพ่อลูกหนึ่ง

ศรัณย์ :)

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ชีวิตผม เมื่อพบพระคริสต์ ตอนที่ 1 ชีวิตผมเริ่มจากตรงนั้น

ย้อนกลับไปประมาณเดือนตุลาคม 1987 ขณะเรียนชั้นม.4 โรงเรียนอัสสัมชัญ เพื่อนของผมที่เรียนด้วยกันมาตั้งแต่อนุบาลได้มาประกาศเรื่องพระเยซูคริสต์ให้ผมฟัง ตอนนั้นความสนใจของผมเท่ากับ "ศูนย์" เพราะผมเป็นคนมีนิสัยเรื่อยๆ ไม่คิดถึงวันข้างหน้า ไม่สนใจวันที่ผ่านเลย ทำนองว่ามีชีวิตให้ผ่านไปวันๆ ก็พอแล้ว แต่ก็เหมือนการหว่านเมล็ดพืชลงดิน เราไม่รู้ว่ามันจะงอกเมื่อไหร่ มันมีเวลาของมัน พฤศจิกายน 1987 ผ่านไปแค่เดือนเดียว  พี่ชายผมมาบอกว่า "เป็นคริสเตียนแล้ว" อะไรจะขนาดนั้น เหมือนถูกตีวงล้อม คนใกล้ตัวไหงนิยมเปลี่ยนเป็นคริสเตียน?   อารมณ์ตอนนั้น "ติดลบ" รู้สึกเหมือนทำไมถูกหลอกกันง่ายจริงๆ แป๊บๆ เชื่อ แป๊บๆ เปลี่ยน  ความรู้สึกรักชาติ รักศาสนาเดิม มันร้อนแรงทันที  ผมต่อว่าต่อขานบวกดูหมิ่นเหยียดหยามการตัดสินใจของพี่ชาย..... ผ่านไป 3 เดือน  วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 1988 หลังจากผมเฝ้ามองดูพี่ชายดำเนินชีวิตแปลกๆ (ในความรู้สึกตอนนั้น) วันอาทิตย์ไปโบสถ์แต่เช้า นิสัยเปลี่ยนไป เลิกทะเลาะกับผม (ฮา)  ผมตัดสินใจไปโบสถ์กับพี่ชายเป็นครั้งแรก  แต่เนื่องจากเป็นเด็กมีนิสัยตื่นสายในวันหย...

"รับใช้ตามการทรงเรียก" เรื่องยากๆ ที่อธิบายให้ง่ายๆ ก็ได้

" รับใช้ตามการทรงเรียก" เรื่องที่ฟังดูยาก แต่อยากอธิบายให้เข้าใจง่ายๆ เรื่องนี้เป็นประเด็นที่เชื่อว่าศิษยาภิบาลทั้งหลายคงได้เคยพยายามสอนและอธิบายให้สมาชิกได้ฟัง บางคนก็ท้าทายให้รับใช้ตามการทรงเรียกโดยไม่อธิบายความหมายอะไร ปล่อยให้ผู้ฟังเข้าใจเอาเอง ทำนองว่าเหมือนพระเยซูกล่าวว่า "ใครมีหูก็จงฟังเถิด" "การรับใช้ตามการทรงเรียก" เรื่องที่ฟังดูเหมือนจะเข้าใจง่าย แต่เอาเข้าจริงมีคำถามเยอะมากเหมือนกัน จากประสบการณ์ของผมที่ "รับใช้ทันทีเมื่อรับเชื่อ" ตั้งแต่ปี 1988 จนถึงปัจจุบันไม่มีขาดช่วง ผมขอให้คำอธิบายเรื่อง "รับใช้ตามการทรงเรียก" ไว้ 5 ประการว่าคืออะไร 1. คือรับใช้ " ตามพระคัมภีร์"           การรับใช้แบบนี้คริสเตียนทุกคนทำได้ครับ ไม่ต้องคิดเยอะ พระคัมภีร์มีคำสั่งอะไร เราก็ทำตามนั้นด้วยใจเชื่อฟัง เช่น ประกาศข่าวประเสริฐ ดูแลฝูงแกะของพระเจ้า หนุนใจพี่น้อง อาสาตัวงานต่างๆ ถวายทรัพย์ด้วยใจยินดี เรื่องเหล่านี้เป็นตัวอย่างที่คริสเตียนทุกคนเมื่ออ่านพระคัมภีร์ก็จะพบคำสั่งเหล่านี้ ดังนั้น การรับใช้ตามที่พระคัมภีร์บอกไว้จึงถือเป็นจุดเริ่...

ชีวิตผม เมื่อพบพระคริสต์ ตอนที่ 2 ศักเคียส กับ บ้านหมอเคน

หลังจากกลับบ้านแบบงงๆ เล็กน้อย เราทำอะไรลงไปเนี่่ย? พูดเล่นพูดจริง? เราเป็นคริสเตียนแล้วเหรอ? พี่เขาบอกว่าพระเยซูเข้ามาในใจแล้ว ไหนล่ะ?  มุดเข้ามาได้ไง?????   แต่ก็อย่างที่บอกครับ ผมเป็นเด็กเรื่อยๆ มาเรียงๆ ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ไม่ได้สนใจจะหาคำตอบอะไรมากมายนัก ตามธรรมเนียมอันดีของคริสตจักรที่ผมไปรับเชื่อคือจะนัดกับผู้ที่เพิ่งต้อนรับพระเยซูในวันรุ่งขึ้น เพื่ออธิบายความเชื่อ ย้ำความเข้าใจกันอีกครั้ง  ผมจึงถูกนัดจากพี่เลี้ยงของผม (พี่ป๊อก) ให้ไปพบที่บ้านหมอเคน ซอยเซ็นหลุยส์ 2 ตอนเลิกเรียน จากโรงเรียนอัสสัมชัญนั่งรถสองแถวจากบางรักออกสาทรเลี้ยวเข้าซอยแป๊บเดียวถึง (อันที่จริงอยากเรียกว่าเกาะรถสองแถวมากกว่า เพราะรถแน่นสุดๆ ห้อยโหนกันเหมือนถุงผักที่แขวนไว้ในรถกระบะขายผักยังไงยังงั้น ^.^") ถ้าคำว่า First Impression ไม่ได้ถูกจำกัดไว้เฉพาะแวดวงการค้าการขาย ผมก็เกิด First Impression ตอนที่มาหาพี่เขาล่ะครับ บ้านหมอเคนดูเรียบร้อย อบอุ่น บ้านไม่ใหญ่มาก มีสวนเล็กๆ มีโต๊ะปิงปองกางไว้เหมือนจะมีคนมาเล่นประจำ ในบ้านไม่หรูหรา แต่ดูมีชีวิตชีวา มารู้ทีหลังว่า หมอเคนและภรรยาเป็นมิชชันนารีจากอั...